ค้นหาบล็อกนี้

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

php


อธิบายคำสั่งต่อไปนี้

<?php
$sql ="select * from student order by id asc ";
$query=mysql_query($sql) or die(mysql_error());
$num=mysql_num_rows($query);
echo $num;
?>

แปล
บรรทัดที่1
เลือกทุกฟิลด์จากtable student เรียงจาก id น้อยไปมาก
บรรทัดที่2
ฟังก์ชันที่ใช้ประมวลผล sql และตรวจสอบว่าถูกต้องหรือไม่
บรรทัดที่3
ประมวลผลโดยนับจำนวน record
บรรทัดที่4
แสดงตัวแปร num

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

myifelse-grade

<body>
<p>&nbsp;<?php
$score=63;
if($score<50){
echo'grade  0';
}else if($score < 55){
echo 'grade 1';
}else if($score < 60){
echo 'grade 1.5';
}else if($score < 65){
echo 'grade 2';
}else if($score < 70 ){
echo 'grade 2.5';
}else if($score < 75 ){
echo 'grade 3';
}else if($score < 80){
echo 'grade 3.5';
}else{echo 'grand4';}
?>
</p>
</body>
</html>

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

อาร์เทมิส จันทราเทพีแห่งกรีก
เมื่อคราวที่แล้วกล่าวถึงเทพอะพอลโล สุริยเทพสุดหล่อไปแล้ว ครั้งนี้คงไม่พูดไม่ได้แล้ว สำหรับ เทพีอาร์เทมิสผู้เลอโฉมและสง่างามไม่แพ้เทพอะพอลโลผู้เป็นพระเชษฐา ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นพี่น้องฝาแฝดชายหนุ่มแห่งยุคเลยทีเดียว เทพีอาร์เทมิสทรงเป็นพระธิดาในเทพซีอุสกับเทพีแลโตนา ชีวิตของพระองค์ในวัยเยาว์นั้นทรมานและลำบากมาก อย่างที่เคยเล่าไปแล้วในตอน เทพอะพอลโล สุริยเทพแห่งกรีก
      เทพีอาร์เทมิสยังเป็นจันทราเทพี เทพีผู้ครองช่วงเวลาแห่งราตรีกาลและเทพีผู้ประทานแสงสว่างแก่รัตติกาลอีกด้วย แต่พระเทพียังมีความสามารถที่ดูจะออกแนวบู้ๆคือ การล่าสัตว์ พระเทพีโปรดการล่าสัตว์ พระองค์จะมีคันธนูและลูกศรติดตัวเสมอ แต่พระองค์ถูกนับถือในนาม เทพีผู้คุ้มครองสัตว์ป่าเสียมากกว่า หากใครเข้าไปในเขตป่าของพระองค์โดยยิงหรือจับสัตว์ีป่าที่อยู่ในอาณาเขตของพระองค์ หากพระเทพีทราบเข้าผู้นั้นอาจต้องถูกสังหารถึงฆาตด้วยลูกธนูแห่งเทพีอาร์เทมิส
     เทพีอาร์เทมิสยังทรงเป็นเทพีผู้ถือพรหมจรรย์เจริญรอยตาม เทพีเฮสเทียและเทพีอธีน่า ด้วยเหตุเพราะพระองค์ทรงเห็นความทุกข์ของเทพีแลโตนาผู้เป็นมารดาที่ต้องลำบากลำบนกับความรักที่มาเป็นพระชายาเทพซีอุึสที่ถูกเทพีเฮร่าตามราวี จึงทำให้พระเทพีมิโปรดและกลัวที่จะออกเรือน จึงปฏิญาณว่าจะไม่ขอมีครอบครัวและจะรักษาพรหมจรรย์ไว้ให้ยิ่งชีพ แต่ก็ยังมีตำนานบางตอนที่กล่าวถึงพระเทพีหลงรักกับบุรุษรูปงาม2คน คือ ไอโอออน  กับ เอนดิเมียน แต่ก็มักจะจบไม่ดีทุกครั้ง เอาไว้จะเล่าในตอนต่อไป ความรักของเทพช่างน่าสงสารจริงๆมักเป็นรักที่จะไม่ค่อยสมหวังเสียจริงๆ
             ถึงเทพีอาร์เทมิสจะมีรูปโฉมที่งดงาม เป็นที่เคารพในนาม เทพีแห่งแสงจันทร์ก็ตาม แต่มีบางตำนานที่กล่าวว่าพระองค์ทรงโหดเหี้ยมผิดวิสัยแห่งพระเทพี เช่น ตำนานของนายพรานที่น่าสงสารนามว่า "แอคเตียน" ที่บังเอิญหลงทางเข้าไปยังป่าต้องห้ามที่เป็นอาณาเขตที่พำนักแห่งเทพีอาร์เทมิส และบังเอิญยิ่งที่พบเข้ากับเทพีอาร์เทมิสกำลังสรงน้ำอย่างสบายพระทัย โดยมีเหล่านางไม้ค่อยปรมนิบัติอยู่ข้างๆ เจ้านายพรานหนุ่มก็อาจดูไม่ขาดตา ผิวอันขาวนวลดังแสงจันทร์ที่กระจ่าง เส้นผมอันเป็นประกายดั่งทองคำเมื่อต้องแสงอาทิตย์ ถึงแม้นายพรานก็เกรงกลัวในอำนาจแห่งเทพเจ้า แต่ด้วยความราคะก็แอบดูในพุ่มไม้บริเวณที่ใกล้ๆนั้น พระเทพีบังเอิญอีกเหมือนกัน ดันเห็นแสงประกายประหลาดจากพุ้มไม้เห็นว่าผิดสังเกต พระเทพีจึงรับรู้ได้ว่ามีคนกำลังแอบดูพระองค์ พระเทพีจึงพิโรธเป็นอันมาก นายพรานรู้ตัวแล้วว่าพระเทพีรู้ว่าตนแอบดู จึงหมายจะหนี แต่พระเทพีได้ใช้มือตัดน้ำขึ้นและสาดไปเต็มแรง น้ำนั้นกระเด็นไปต้องนายพรานหนุ่ม จากนั้นร่างของนายพรานหนุ่มก็กลายเป็นกวางไป นายพรานในร่างกวางก็วิ่งพยายามขอความช่วยเหลือดันไปพบกับสุนัขล่าเนื้อที่เป็นสุนัขของตนตามไล่กัด คิดว่าเป็นกวางโดยหารู้ไม่ว่ากวางตัวนี้เป็นนายของมัน และนายพรานหนุ่มก็จบชีวิตลงโดยสุนัขล่าเนื้อของตนอย่างน่าอนาถ

ยังไม่จบเพียงเรื่องนี้เท่านั้น ยังมีต่อ มีชายหนุ่มนามว่า "แอดมีทัส" เป็นสาวกผู้มีหน้่าที่ถวายเครื่องสักการะแด่เทพีอาร์เทมิส แต่เมื่อเขาได้พบรักหญิงงามและขอเธอเป็นภรรยา เธอยินดีที่จะเป็นภรรยาเขา และเขาก็ปราบปลื้มปิติและวุ่นวายกับการจัดงานแต่งของตน จนลืมหน้าที่ที่จะต้องถวายเครื่องสักการะแด่พระเทพี พระเทพีทราบว่า แอดมีทีสลืมหน้าที่ๆพึ่งกระทำ พระองค์โกรธกริ้วมากจึงเสกให้ห้องหอของแอดมีทีสกัีบเจ้าสาวของเขาเต็มไปด้วยงูพิษ

             ยังมีเรื่องต่อ พระราชานามว่า "ท้าวโอนีอัส" แห่งเมืองคาลีดอน เกิดลืมการถวายเครื่อสักการะแด่พระเทพี พระเทพีกริ้วอีกแล้วทรงบันดาลให้วัวป่าที่บ้าคลั่งเข้าโจมตีทำลายเมืองคาลีดอน และวัวป่านั้นสังหารเชื้อพระวงศ์และครอบครัวของท้าวโอนีอัสสิ้นพระชนม์สิ้น นี้เป็นการลงโทษอย่างรุนแรงและโหดเหี้ยมจากพระเทพีพระองค์นี้
         ยังมีอีก พระเทพีเคยลงทัณฑ์นางไม้ผู้น่าสงสารที่ถูกเทพซีอุสปลุกปล้ำจนได้นางเป็นชายา นางคือ "คัสลิสโต" เทพีอาร์เทมิสอาจจะว่าอะไรเทพซีอุสผู้เป็นบิดาได้ จึงลงมือกับนางไม้คัสลิสโตผู้น่าสงสารโดยสาปในนางกลายเป็นหมีไป แค่นั้นไม่พอ นางคัสลิสโตมีพระโอรสให้เทพซีอุส แต่ไม่ทราบว่าหมีตัวนั้นเป็นพระมารดาจึงสังหารยิงหมีตัวนั้นตายกับหมี มาทราบภายหลังว่าหมีนั้นเป็นพระมารดาที่ถูกเทพีอาร์เทมิสสาป เขาฆ่าแม่ของเขาลงกับมือ และเขาก็ฆ่าตัวเองตายตามผู้เป็นมารดาไป เทพีอาร์เทมิสทราบว่าพระองค์ผิดจึงเนรมิตให้สองแม่ลูกไปเป็นดวงดาวบนท้องฟ้า คือ ดาวหมีเล็ก กับ ดาวหมีใหญ่
        เทพีอาร์เทมิส ถึงดูภายนอกของพระองค์จะเป็นเทพีผู้แข็งแกร่ง เพราะทรงโปรดกิจกรรมที่เป็นของบุรุษอย่างการล่าสัตว์ ผิดวิสัยแห่งสตรี พระองค์คงเกิดมาจากอุดมคติแห่งสตรีในสมัยกรีกโบราณที่อย่างจะทำการใดได้เหมือนดั่งบุรุษบ้าง ถึงอย่างไรเทพก็เสมือนเงากระจกที่สะท้อนกลับของมนุษย์นั่นอยู่ดี

วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

เฮรา


เฮรา (Hera) หรือภาษาโรมันว่า จูโน (Juno)
เป็นราชินีของเทพธิดาทั้งหลายเพราะเป็นชายาของซุส เฮราเป็นธิดาองค์ใหญ่ของเทพไทแทนโครนัสกับเทพมารดารีอา ต่อมาในตอนหลังได้อภิเษกสมรสกับ ซุสเทพบดีอนุชาของนาง ทำให้นางกลายเป็นราชินีสูงที่สุดในสวรรค์ชั้นโอลิมปัส ที่ไม่ว่าผู้ใดก็คร้ามเกรง เทวีเฮราไม่ชอบนิสัยเจ้าชู้ของซุส ด้วยเหตุที่ซุสเป็นคนเจ้าชู้ ทำให้เฮรากลายเป็นคนขี้หึง และคอยลงโทษหรือพยาบาทคนที่มาเป็นภรรยาน้อยของซุสอยู่เสมอ เมื่อแรกที่ซุสขอแต่งงานด้วย เฮราปฏิเสธ และปฏิเสธเรื่อยมาจนถึง 300 ปี วันหนึ่งซุสคิดทำอุบายปลอมตัวเป็นนกกาเหว่าเปียกพายุฝนไปเกาะที่หน้าต่าง เฮราสงสาร ก็เลยจับนกมาลูบขนพร้อมกับพูดว่า "ฉันรักเธอ" ทันใดนั้น ซุสก็กลายร่างกลับคืน และบอกว่าเฮราต้องแต่งงานกับพระองค์
แต่ทว่าชีวิตการครองคู่ของเทวีเฮรากับเทพปริณายกซุสไม่ค่อยราบรื่นเท่าใดนัก มักจะทะเละเบาะแว้ง เป็นปากเสียงกันตลอดเวลา จนเป็นเหตุให้ชาวกรีกโบราณเชื่อกันว่า ในเวลาที่เกิดฟ้าคะนองดุเดือดขึ้นเมื่อไร นั่นคือสัญญาณว่าซุสกับเฮราต้องทะเลาะกันเป็นแน่ เพราะ 2 เทพนี้เป็นสัญลักษณ์ของสรวงสวรรค์ เมื่อท้องฟ้าเกิดอาเพศ ก็เหมาเอาว่าเป็นเพราะการขัดแย้งรุนแรงของเทพคู่นี้         แม้ว่าเทวีเฮรามีศักดิ์ศรีเป็นถึงราชินีแห่งสวรรค์หรือเทพมารดาแทนรีอา         แต่ความประพฤติและอุปนิสัยของเจ้าแม่ไม่อ่อนหวาน และมีเมตตาสมกับเป็นเทพมารดาเลย โดยประวัติของเจ้าแม่นั้นมีทั้งโหดร้าย ไร้เหตุผล เจ้าคิดเจ้าแค้นและอาฆาตพยาบาทจนถึงที่สุด ผู้ใดก็ตามที่ถูกเทวีเฮราอาฆาตไว้ มักมีจุดจบที่ไม่สวยงามนัก ว่ากันว่าชาวกรุงทรอยทั้งเมืองล่มจมลงไปเพราะเพลิงอาฆาตแค้นของเจ้าแม่เฮรานี้เอง สาเหตุเกิดจากเจ้าชายปารีสแห่งทรอยไม่เลือกให้เจ้าแม่ชนะเลิศในการตัดสินความงามระหว่าง 3 เทวีแห่งสวรรค์ คือเทวีเฮรา เทวีเอเธนา และเทวีอโฟรไดท์

เรื่องมีอยู่ว่า เจ้าแม่โกรธแค้นความไม่ซื่อสัตย์ของสวามีขึ้นมาอย่างเต็มกลืน จึงร่วมมือกับเทพโปเซดอน จ้าวสมุทร เชษฐาของซุสเอง และเทพอพอลโลกับเทวีอธีนาด้วย ช่วยกันกลุ้มรุมจับองค์เทพซุสมัดพันธการไว้แน่นหนา จนเป็นเหตุให้เทพปริณายกซุสจวนเจียนจะสูญเสียอำนาจอยู่รำไร ก็พอดีชายาอีกองค์ของซุสนามว่า มีทิส (แปลว่าภูมิปัญญา) ได้นำผู้ช่วยเหลือมากู้สถานการณ์ทันเวลา โดยไปพา อาอีกีออน (Aegaeon) ซึ่งเป็นอสูรร้อยแขนที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงมาช่วยเหลือเทพบดีซุส อสูรตนนี้มีฤทธิ์อำนาจมากเสียจนเทพเทวาน้อยใหญ่ต้องยอมศิโรราบไปตามๆ กัน เมื่ออาอีกีออนมาแก้ไขให้ซุส และนั่งเฝ้าอยู่ข้างบัลลังก์ของซุส บรรดาผู้คิดกบฎปฎิวัติก็หน้าม่อย ชวนกันหนีหน้าไปหมด แผนการณ์จึงล้มครืนด้วยประการฉะนี้
องค์เทพซุสเองก็เคยร้ายกาจกับราชินีเทวีเฮราเหมือนกัน ทรงลงโทษลงทัณฑ์แก่เจ้าแม่อย่างไม่ไว้หน้าอยู่บ่อยๆ นอกจากทุบตีอย่างรุนแรงแล้ว ซุสยังใส่โซ่ตรวนที่บาทของเจ้าแม่กับผูกข้อหัตถ์และพาหาติดกันมัดโยงโตงเตงอยู่บนท้องฟ้า จนเป็นเหตุให้เกิดตำนานเกี่ยวกับเทพ ฮีฟีสทัส ขึ้นมาว่า จากการวิวาทครั้งนี้ เทพฮีฟีสทัสผู้เป็นโอรสเข้าขัดขวางมิให้พระบิดากระทำรุนแรงแก่พระมารดา ซุสเทพบดีที่กำลังโกรธกริ้ว จับตัวฮีฟีสทัสขว้างลงมาจากสวรรค์ กลายเป็นเทพพิการไปเลย



 
ทว่าบุตรที่เกิดจากตัวเจ้าแม่เองนั้นกลับมิได้สะสวย เรืองฤทธิ์เช่นอธีนา แต่กลับเป็นอสูรร้ายน่าเกลียดน่ากลัวยิ่ง (แต่บางตำนานกล่าวว่าบุตรที่จากเทวีเฮราก็คือ ฮีฟีทัสนั่นเอง) คืออสูรร้าย ไทฟีอัส (Typheus) ซึ่งผู้ใดเห็นก็หวาดกลัว เลยทำให้เทพปริณายกซุสกริ้วใหญ่ และการวิวาทบาดหมางก็เกิดขึ้นอีก

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

เทพโพไซดอน

โพไซดอน

 โพไซดอน หรือ โพเซดอน (Poseidon) หรือ โปเซดอน เป็นชื่อเรียกเทพเจ้าตามชาวกรีก แต่สำหรับชาวโรมัน ซึ่งรับเอาวัฒนธรรมของกรีกมาอีกทอดหนึ่งจะเรียกว่า เนปจูน ตามภาษาละติน โพไซดอน เป็นผู้คุ้มครอง ท้องทะเลและห้วงน้ำ (The ruler of the sea)                      
เป็นพระอนุชาของเทพซุส หรือ จูปิเตอร์ตามภาษาละติน เทพที่มีอำนาจสูงสุดในบรรดาเทพเจ้ากรีก-โรมันทั้งหมด ส่วนพระชายาของพระองค์ คือ เทพีอัมฟิไทรต์ ซึ่งก็เป็นเทพี แห่งท้องทะเล เช่นกัน โพไซดอน เป็น เทพเจ้าแห่งท้องทะเล และมหาสมุทร เป็น ผู้ปกครองดินแดน แห่งท้องน้ำ ตั้งแต่แหล่งน้ำจืด เช่น แม่น้ำ ลำคลอง จนถึงใต้บาดาล มีอาวุธคือสามง่าม บางตำนานกล่าวว่า มีท่อนล่างเป็นปลา นอกจากนี้แล้วยังถือว่าเป็นเทพแห่งแผ่นดินไหว และเป็นเทพแห่งม้าอีกด้วย  
 ตามตำนานเล่าว่า โพเซดอนเป็นบุตรของโครโนสกับเร มีพี่น้องอีก 4 องค์ ซึ่งล้วนแต่เป็นเทพ แห่งโอลิมปัสทั้งสิ้น ได้แก่ ซุส ผู้เป็นใหญ่ในสภาเทพแห่งโอลิมปัส ฮาเดส ผู้ครอบครองยมโลก เฮรา ชายาแห่งเทพซุส เฮสเตีย เทพีแห่งเตาผิง รูปลักษณ์ของโพเซดอน ส่วนมากจะปรากฏเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างกำยำล่ำสัน มีหนวดเครา ถือสามง่ามเป็นอาวุธ ซึ่งสามง่ามนี้มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถดลบันดาลให้เกิดคลื่นลมแรงในทะเล หรือแผ่นดินไหวได้ ครั้งหนึ่งโพเซดอน เคยคิดที่จะโค่นอำนาจของซุส โดยร่วมมือกับเฮราและอะธีนา แต่ไม่สำเร็จจึงถูกซุสลงโทษ โดยการให้ไปสร้างกำแพงเมือง ทรอย ร่วมกับเทพอพอลโล โพเซดอนมีมเหสีองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นหญิงรับใช้ของเทพีอะธีนา คือ เมดูซ่า ซึ่งในตอนแรกนั้นยังไม่ถูกสาบให้มีผมเป็นงู เพิ่งจะเป็นเช่นนั้นเมื่อเทพีอะธีนาทราบเรื่องว่าหญิงรับใช้ของตน ไปเป็นมเหสีของโพเซดอน จึงสาบเมดูซ่าให้เป็นปีศาจที่มีผมเป็นงู และเมื่อมองใครก็จะกลายเป็นหินไปหมด ในคราวที่เปอร์ซิอุสปราบเมดูซ่านั้น เปอร์ซิอุสได้ตัดศีรษะของเมดูซ่าแล้วเลือดของเมดูซ่า ที่กระเซ็นออกมา กลายเป็นม้าบินสองตัว คือ เพกาซัส (Pegasus) และ คริสซาออร์ (Chrysaor) ดังนั้นจึงถือว่า ทั้ง เพกาซัส และ คริสซาออร์ เป็นลูกของโพเซดอนด้วย
ในสมัยที่โครนัส และเทพไททัน เป็นใหญ่อยู่นั้น เนรูส เป็นผู้ครอบครองทะเล เนรูสเป็นโอรสของ แม่พระธรณี กับ พอนทัส หรือทะเล ซึ่งเป็นสวามีองค์ที่สอง เนรูสเป็นเทพเจ้าผู้ชราแห่งทะเล มีหนวดสีเทายาว มีหางเป็นปลา และ มีธิดาเป็นนางพรายน้ำห้าสิบนาง คือ เนรีด ผู้น่ารัก เมื่อโพไซดอน ได้รับมอบหมายให้มาเป็นเจ้าแห่งทะเลแทน เนรูส ผู้ชราที่มีน้ำพระทัยดี ก็ทรงยกธิดานามว่า อัมฟิไทรต์ ให้เป็นมเหสีของโพไซดอน แล้วเธอเองก็ปลีกตัวไปประทับอย่างสงบในถ้ำใต้บาดาล เนรูสทรงยกปราสาทใต้ทะเลให้แก่พระราชา และพระราชินีองค์ใหม่ด้วยปราสาททองคำ ซึ่งตั้งอยู่ในสวนหินปะการังและไข่มุก อัมฟิไทรต์ประทับที่ปราสาทแห่งนี้อย่างมีความสุข พร้อมกันนั้นยังห้อมล้อมด้วยนางพรายน้ำพี่น้องอีกสี่สิบเก้านาง นางมีโอรสองค์เดียว นามว่า ไทรทัน ซึ่งมีหางเป็นหางปลา เหมือนเนรูสผู้เป็นพ่อ ทรงขี่หลังสัตว์ทะเล และทรงเป่าสังข์ท่องเที่ยวไปในทะเล

โพไซดอนไม่ค่อยประทับอยู่ที่ปราสาท เพราะไม่ชอบอยู่นิ่ง ๆ ทรงโปรดขับรถเทียมม้าสีขาวเหมือนหิมะแข่งกับลูกคลื่น กล่าวกันว่า โพไซดอน เนรมิตม้ามาจากรูปของคลื่นที่แตกกระจาย โพไซดอนทรงมีชายา และโอรสธิดามากมาย เหมือนซุส แต่ต่างกันตรงที่อัมฟิไทรต์ไม่ทรงหึงหวงเหมือนเฮรา

อีกอย่างที่ทราบมา



               เทพโพไซเดิมอย่างว่าเป็นเทพบุตรรุ่นใหม่อันกำเนิดจากเทพโครนัสกับนางเรอา ซึ่งก่อนที่พระองค์จะขึ้นตำแหน่งพระสมุทรนั้น มีเทพเจ้ารุ่นเก่าคือ เทพไตรต้นนามว่า "โอเซียนัส" เป็นพระสมุทรอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งเทพโอเซียนัสมีอำนาจครอบคลุมอำนาจน้ำทุกอย่างในโลก แต่พอเทพรุ่นใหม่ล้มอำนาจของเทพไตรตัน เทพโอเซียนัสจึงถูกลดอำนาจแต่ยังคงสภาพพระสมุทรอยู่ คือ เทพโพไซดอนปกครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (ในอดีตชาวกรีกนั้นมหาสมุทรเมดิเตอร์เรเนียนมีความสำคัญต่อตนมาก) ส่วนเทพโอเซียนัสจึงปกครองในห้วงสมุทรที่เป็นเพียงน้ำไหลวนรอบโลกซึ่งไม่มีความสำคัญอะไรเลย
             พระองค์ในฐานะเป็น 1 ใน เทพสภาทั้ง12แห่งโอลิมปัส มักจะตั้งเสด็จขึ้นไปยังโอลิมปัสด้วย เวลาพระองค์เสด็จจะทรงบนราชวงศ์เทียมม้าน้ำและจะมีเหล่าเทพบุตร เทพธิดาแห่งทะเลรวมถึงหมู่นางพรายขึ้นมาส่งเสด็จต่างประโคมแตรสังข์ดนตรีอย่างอลังการ สมกับขบวนส่งเสด็จพระสมุทร ท้องทะเลจะแหวกเป็นทางให้รถม้าของพระองค์เหาะขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งสู่โอลิมปัสอย่างสวยงาม 
           เทพโพไซดอนทรงเป็นพระสมุทรที่เท่ากับเป็นประมุขบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายในมหาสมุทร ก็คงขาดไม่ได้ที่จะต้องมีพระมเหสีหรือราชินีคู่บัลลังก์ พระราชินีแห่งท้องทะเลจะหนีไปไม่ได้เลย เพราะหนีแล้วท่านยังตามทันนั้นคือ เทพีอัมฟิตรีตี กว่าพระองค์จะได้เทพีพระองค์นี้มาเป็นพระมเหสีช่างยากอยู่เหมือนกัน ตอนแรกพระองค์ขอพระเทพีจากเทพโอเซียนัสผู้เป็นบิดา แต่พระเทพีกลับไม่ยินดีกับการจะเป็นพระมเหสีพระสมุทรพระองค์ใหม่จึงหนี..!! พระเทพีหนีซ่อนองค์อยู่ทีอื่น แต่คงไม่พ้นพระเนตรพระกรรณของทพโพไซดอนได้ พระองค์จึงวานปลาโลมาช่วยตามหาพระเทพีอันเป็นที่รัก ในที่สุดเจ้าปลาโลมาก็พบพระเทพีและนำกลับมามอบแก่เทพโพไซดอนได้สำเร็จ พระเทพีผู้โสภาคงหนีไม่รอดตำแหน่งพระราชินีแห่งมหาสมุทร จึงยอมรับเทพโพไซดอนเป็นพระสวามีโดยดี
     พระเทพีทรงมีพระโอรสให้เทพโพไซดอน คือ เทพไทรตัน โดยพระโอรสพระองค์นี้จะมีหน้าที่เป่าสังข์เป็นสัญญาณเวลาพระบิดาจะเสด็จสู่โอลิมปัส โดยพระองค์จะมีรูปลักษณ์เป็นคนครึ่งปลา เขาว่าพระองค์เป็นต้นตระกูลของเงือกกรีกด้วย 


ขอจบเรื่องเทพโพไซดอนไว้เท่านี้น้ะค่ะ ความจริงมีอีกหลายเหตุการณ์มากมาย ค่ะ:)

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

ซุส

ตำนาน เทพซุส (Zeus)

ซุส (Zeus) เป็นพระบิดาของบรรดาเทพเจ้า

                                                                         เทพซุส (Zeus)
                 เป็นราชาแห่งทวยเทพ ผู้ปกครองเขาโอลิมปัส (Olympus) และ เทพแห่งท้องฟ้า และ ฟ้าร้อง ของตำนานเทพปกรณัมกรีก มี อสนีบาต (Thunder bolt) เป็นอาวุธประจำกาย ทรงเกราะทองประกายวาววับ ซึ่งเกราะทองนี้ไม่มีมนุษย์สามัญจะทน มองได้ แม้แต่ทวยเทพด้วยกันเอง หากไปเพ่งมองแสงเจิดจ้า ของเกราะทองเข้า ก็ย่ำแย่เช่นกัน ทรงมีพญานกอินทรีเป็นนกเลี้ยง ต้นโอ๊คเป็นพฤกษาประจำองค์ มีมหาวิหาร และศูนย์กลางศรัทธา ในตัวพระองค์อยู่ที่เมืองโอลิมเปีย สัญลักษณ์ประจำพระองค์คือ โคเพศผู้ นกอินทรี และต้นโอ๊ก
เทพแห่งสายฟ้า

           พระองค์เป็นพระโอรสองค์สุดท้องของ ไททันโครนัส (Cronus) และ ไททันรีอา (Rhea) ในหลายๆ ตำนานกล่าวว่า พระองค์ได้สมรสกับเทพีเฮร่า (Hera) แต่ก็มีสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองดอโดน่า (Dodona) ที่อ้างว่า คู่สมรส ของเทพซุสแท้จริงแล้วคือ เทพีไดโอเน่ (Dione) นอกจากนี้มหากาพย์อีเลียด (Illiad) ยังกล่าวไว้ว่า เทพซุส เป็นพระบิดา ของเทพีอโฟรไดต์ (Aphrodite) ที่กำเนิดจากเทพีไดโอเน่อีกด้วย เทพซุส มักมีชื่อเสียง ในพฤติกรรมนอกลู่นอกทางเรื่องชู้สาวของพระองค์ ซึ่งยังรวมไปถึง ความสัมพันธ์ กับเด็กหนุ่มนามกานีเมดี้ (Ganymede) ด้วยเช่นกัน พฤติกรรมของพระองค์ทำให้เกิดผู้สืบเชื้อสายอยู่หลายองค์ และหลายคนด้วยกัน อาทิเช่น เทพีอาธีน่า (Athena) เทพอพอลโล (Apollo) และเทพีอาร์ทีมิส (Artemis) เทพเฮอร์มีส (Hermes) เทพีเพอร์ซิโฟเน่ (Persephone) เทพไดโอนีซุส (Dionysus) วีรบุรุษเพอร์ซีอุส (Perseus) วีรบุรุษเฮอร์คิวลีส (Hercules) เฮเลนแห่งทรอย (Hellen) กษัตริย์ไมนอส (Minos) และเหล่าเทพีมิวเซส (Muses) ส่วนผู้สืบเชื้อสาย ที่เกิดจากเทพีเฮร่าโดยตรง ได้แก่เทพเอรีส (Ares) เทพีเฮบี (Hebe) และเทพเฮฟาเอสตัส (Hephaestus) นามของพระองค์ในตำนานเทพปกรณัมโรมันคือ เทพจูปิเตอร์ (Jupiter) และนามในตำนานอีทรูสแคนคือเทพไทเนีย (Tinia)

          ในวัยเยาว์ของพระองค์โดนพ่อบังเกิดเกล้าเรียกเอาไปกิน หวังไม่ให้เยาวเทพเติบโตขึ้นมาวัดรอยเท้า เคราะห์ดีที่แม่ของท่านไหวตัวทันเอาไปฝากแพะเลี้ยงเอาไว้ จนกระทั่งเติบโตหาญกล้ามาทวงบัลลังก์ กับพ่อ ต้องรบราฆ่าฟันพี่น้อง รวมทั้งพ่อของตัวเองด้วย หลังจากยึดอำนาจได้เบ็ดเสร็จแล้ว ซุสก็ขึ้นครองบัลลังก์ รั้งอำนาจเต็มตลอด 3 ภพ คือ สวรรค์ พิภพ และ บาดาล แต่ซุสก็ตระหนักดีว่า การที่จะปกครองทั้ง 3 ภพ และ ทะเลให้ทั่วถึงมิใช่เรื่องง่าย หาใช่ภาระเล็กน้อยไม่ เพื่อป้องกันการแก่งแย่ง และกระด้างกระเดื่อง จึงจัดสรรอำนาจ ยอมยกให้เทพต่างๆ มีเอกสิทธิในการปกครองอาณาเขตดังนี้

*** เนปจูน หรือ โปเซดอน ได้ครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และแม่น้ำทั้งปวง

*** พลูโต หรือ ฮาเดส เป็นเจ้าแห่งตรุทาร์ทะรัส และ แดนบาดาลทั้งหมด อันรัศมีของแสงอาทิตย์ ไม่เคยส่องลอดไปถึงเลย

*** ยูปิเตอร์ หรือ ซุสเองปกครองทั้งสวรรค์ และพิภพ แต่ก็มีอำนาจที่จะสอดส่องดูแล กิจการทั่วไปในเขตแดน ของเทพภราดรทั้งสองได้บ้าง
 

         
 
 
 

ยอดเขาโอลิมปัส

ยอดเขาโอลิมปัส

ถ้าหากว่าคุณชอบเรื่องที่เพ้อฝัน หรือไม่ก้อชอบประวัติศาสตร์ที่มีเทพเจ้ามากมายนั้น
คุณอาจจะเคยดูหนังเรื่องนี้
แน่นอน เรื่องนี้มีเทพเจ้าอยู่มากมาย และมีลูกของเทพเจ้าอยู่ด้วย ถ้าคุณได้ดูตอนสุดท้าย เพอร์ซศีย์จะไปที่ยอดเขาโอลิมปัสเพื่อคืนสายฟ้าที่หายไป และที่นั่นก้อมีสภาโอลิมปัสอยู่

มารู้จักสภาโอลิมปัสกันน้ะค้ะ

เทวสภาโอลิมปัส เป็นสภาแห่งทวยเทพองค์สำคัญสิบสององค์ตามความเชื่อของชาวกรีกโบราณ สถิตอยู่ ณ เขาโอลิมปัส ซึ่งเป็นเขาที่มีอยู่จริงในประเทศกรีซ โดยเป็นเขาที่สูงสุดในกรีซ
เทพทั้ง 12 ประกอบด้วย
  • ซูส (Zeus) เป็นเทพที่ใหญ่ที่สุด ปกครองสวรรค์และทวยเทพทั้งมวล เทพแห่งท้องนภา
  • โพไซดอน (Poseidon) เทพแห่งท้องทะเลและแม่น้ำ น้ำท่วมและแผ่นดินไหว เป็นพี่ชายของเทพซุส
  • เฮรา (Hera) ชายาของซูส องค์ราชินีแห่งสรวงสรรค์และดวงดาว เทพีแห่งการสมรสและความจงรักภักดี
  • อพอลโล (Apollo) โอรสของซูส เทพแห่งดวงอาทิตย์(แสง) เทพแห่งศิลปวิทยาการ การรักษา การพยากรณ์ทำนาย การแพทย์ และการธนู
  • อาร์เทมีส (Artemis) ฝาแฝดหญิงกับอพอลโล เทพีแห่งดวงจันทร์ เทพีแห่งการล่าสัตว์ เหล่าสัตว์ป่า และเทพีผู้ดูแลปกป้องหญิงสาว
  • อะธีนา (Athena) ธิดาอีกองค์หนึ่งของซูส เทพีแห่งสงคราม เทพีแห่งปัญญา งานหัตถกรรม (โดยเฉพาะงานทอผ้า ปั้นหม้อ และงานไม้)
  • เฮฟเฟสตุส (Hephaestus) เทพแห่งการตีเหล็ก เทพแห่งไฟ
  • อาเรส (Ares) เทพแห่งสงคราม
  • อโฟรไดท์ (Aphordite) เทพีแห่งความรัก เทพีแห่งความงาม
  • เฮอร์มีส (Hermes) เทพแห่งการค้า เทพแห่งการโจรกรรม และผู้ส่งสารของเหล่าทวยเทพ
  • เฮสเทีย (Hestia) เทพแห่งการครองเรือน เทพแห่งครอบครัว
  • ดีมิเตอร์ (Demeter) เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และการเก็บเกี่ยว
สำหรับ ฮาเดส (Hades) เทพปกครองโลกที่อยู่เบื้องล่าง และเป็นพี่ชายของจอมเทพซุส แต่เดิมเคยถูกจัดอยู่ใน 12 เทพโอลิมปัสด้วย แต่ตัดออกจากกลุ่มในภายหลัง[1]




วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Chocolate Mountain

 
ภูเขาช็อกโกแลต (The Chocolate Hills) ตั้งอยู่ในเกาะโบโฮล (Bohol) ของประเทศฟิลิปปินส์ โดยสาเหตุที่เรียกว่า ภูเขาช็อกโกแลต นั้น คงเป็นเพราะรูปร่างของภูเขาที่มีลกษณะภูเขาหินปูนทรงกรวยคว่ำ ที่มีจำนวนมากกว่า 1,268 ลูก
 
                นักธรณีวิทยาสันนิษฐานกันว่าครั้งหนึ่งภูเขาเหล่านี้เคยเป็นเพียงแนวปะการังที่อยู่ใต้ทะเลซึ่งใช้เวลานับล้านๆปี ก่อตัวทับถมกัน พอเปลือกโลกเกิดเคลื่อนที่อย่างกะทันหันภูเขาปะการังก็เลยโพล่พ้นน้ำขึ้นมา ส่วนชนพื้นเมืองชาวฟิลิปปินส์ เขาเชื่อกันว่าภูเขาเหล่านี้เกิดขึ้นจากฝีมือของพวกยักษ์ แต่ที่เรียกกันว่าภูเขาช็อกโกแลตก็เพราะว่าช่วงหน้าแล้งหญ้าบนภูเขาเหล่านี้จะกลายเป็นสีน้ำตาลหากมองเผินๆ เหมือนกับถูกอาบไว้ด้วยช็อกโกแลต ภูเขาช็อกโกแลต มีความสวยงามในแบบต่างๆกัน เพราะหากคุณมาในช่วงหน้าฝน คุณจะพบกับภูเขาสีเขียวนับพันลูก ที่ซ้อนกันเป็นหย่อมในระดับความสูงที่เท่าๆ กัน ซึ่งมีความสวยงามไปอีกแบบ ส่วนในช่วงหน้าแล้ง คุณจะพบว่าหญ้าบนภูเขาจะค่อยๆกลายเป็นสีน้ำตาล ราวกับมีคนเอาช็อกโกแลตมาราดบนภูเขาเหล่านี้เลยหล่ะ
 
                 ถือว่าสถานที่นี้เป็น10 อันดับสถานที่มหัศจรรย์ ที่ไม่คิดว่าจะมีในโลก โลกของเรามีสถานที่มากมายที่มีลักษณะพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ ที่เกิดจากการรังสรรค์ของธรรมชาติกินเวลานับหมื่นนับแสนปี ทำให้สถานที่หลายแห่งมีความงดงามและแปลกประหลาดจนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าสถานที่แห่งนั้นจะมีอยู่จริงบนโลกใบนี้
 
 

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Summer

เริ่มต้นกันด้วยภาพสวยๆ แสงแดดส่องผ่านมา จุดเริ่มต้นของฤดูร้อนได้เริ่มขึ้นแล้ว
เราทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่าฤดูร้อนนั้นมีอากาศที่ร้อนอบอ้าว รู้สึกเบื่อกันใช่ไหมกับอากาศร้อนๆ จึงต้องดับร้อนด้วยการไปเที่ยวทะเลกันสิน้ะ มาดูผลจากอากาศร้อนๆกัน

ข้อควรรู้ อากาศร้อน . . . ดูแลตัวเองอย่างไรดี   
     การป้องกันไมเกรนกำเริบในหน้าร้อนก็คือหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิสูง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หากมีอาการไมเกรนมากในช่วงหน้าร้อนก็ควรกินยาป้องกันเสียก่อน
     อากาศร้อนจัด
ควรดื่มน้ำให้เพียงพอวันละประมาณ 2-3 ลิตร อาจเป็นน้ำเปล่า น้ำแร่ ชาสมุนไพร หรือน้ำผลไม้ผสมน้ำ แต่ไม่ควรดื่มน้ำเย็นจัดเพราะจะทำให้เหงื่อออกมากขึ้น นอกจากนี้ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ในหน้าร้อนเพราะจะทำให้ร่ายกายสูญเสียน้ำมากยิ่งขึ้น และการที่ร่างกายขับเหงื่อออกไปมากก็มีแร่ธาตุต่างๆ ปนออกไปกับเหงื่อด้วย
    
รังสียูวีปริมาณสูงในหน้าร้อนจะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ซึ่งจะทำให้เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นจึงไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้าชื้นเหงื่อเป็นเวลานาน ส่วนผู้ที่ออกกำลังกายก็ควรผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อหรือเชื้อราที่เกิดขึ้นได้ในที่อับชื้น
โรคสุดฮิตที่เป็นกันมากที่สุดคือ อาหารเป็นพิษ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย จากการกินอาหารปนเปื้อน ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับอาหารปิกนิก อาหารที่ไม่ได้เก็บแช่ไว้ในตู้เย็นอาหารที่ทำไว้ล่วงหน้านานๆ โดยไม่มีการแช่เย็นหรืออุ่นให้ร้อนอยู่เสมอ เด็กและคนชรามีโอกาสเสี่ยงสูง โดยอาการของโรคมักเกิดภายใน 2-6 ชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหารปนเปื้อนเชื้อ หรือสารพิษของเชื้อ เริ่มตั้งแต่มีไข้ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย บางครั้งอาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ถ้าถ่ายอุจจาระมากจะเกิดอาการขาดน้ำและสารเกลือแร่ในร่างกาย ร่างกายอ่อนเพลีย ทางป้องกันที่ดีคือ ควรกินอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ๆ ไม่รับประทานอาหาร ที่เก็บไว้ค้างคืนนานๆ เพื่อป้องกันการรับเชื้อโรคโดยไม่จำเป็น

            ทางที่ดีควรล้างมือให้สะอาดก่อนปรุงและกินอาหาร หรือชงนมให้เด็ก ดื่มน้ำที่สะอาดหรือน้ำต้มสุก กินอาหารที่สะอาดปรุงสุกใหม่ งดการกินอาหารสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบ ก้อย และถ่ายอุจจาระในส้วม น่าจะดีที่สุด...

           นอกจากนี้ อาหารเป็นพิษยังทำให้เกิด "โรคอุจจาระร่วง" ได้อีก ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส โปรโตซัว และหนอนพยาธิ เชื้อก่อโรคเหล่านี้สามารถติดต่อได้โดยการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อนเข้าไปเช่นกัน อาการถ่ายอุจจาระเหลวเป็นอาการสำคัญของโรคอุจจาระร่วง อาจถ่ายเป็นน้ำ หรือถ่ายมีมูกปนเลือด โดยทั่วไปมักจะอาเจียนร่วมด้วย ความรุนแรงของอาการแตกต่างกันได้มาก ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย ในขณะที่บางรายอาจมีอาการรุนแรงมาก หากอาการไม่ดีขึ้นควรรีบพบแพทย์ทันที

          อีกหนึ่งโรคที่ต้องระวัง คือ "โรคพิษสุนัขบ้า" หรือ "โรคกลัวน้ำ" โรคนี้ติดต่อจากการถูกสัตว์ที่มีเชื้อโรคพิษสุนัขบ้ากัด ข่วน หรือเลียบริเวณที่มีแผลรอยข่วน หรือน้ำลายของสัตว์ที่มีเชื้อเข้าตา ปาก จมูก โดยสัตว์นำโรคที่พบมากสุด คือ สุนัข รองลงมาเป็น แมว และอาจพบในสัตว์เลี้ยงอื่น เช่น หมู ม้า วัว ควาย และสัตว์ป่า เช่น ลิง ชะนี กระรอก กระแต ได้เช่นกัน
          ผู้ที่เป็นโรคนี้จะแสดงอาการภายใน 15-60 วัน บางรายอาจนานเป็นปี ซึ่งเป็นที่น่าหนักใจที่โรคนี้ยังไม่มีตัวยารักษาโดยเฉพาะ ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตเกือบทุกรายภายใน 2-7 วันหลังแสดงอาการ ดังนั้น หากถูกสัตว์ที่มีเชื้อพิษสุนัขบ้ากัดให้รีบล้างแผลด้วยสบู่ และน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง แล้วรีบพบแพทย์ในทันที...
                    
นอกจากโรคต่างๆ ที่พูดถึงนี้ โรคหน้าร้อน ยังรวมไปถึง ตะคริวแดด เพลียแดด และลมแดด ซึ่งสาเหตุก็เกิดจากการอยู่กลางแดดเป็นเวลานานๆ จึงทำให้เสียเหงื่อมาก และเหตุที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เป็นเพราะในประเทศสหรัฐอเมริกามีรายงานการเสียชีวิตจากโรคจากแดดถึง 300-400 รายต่อปี

          โรคสุดท้ายที่น่ากลัวที่สุดคือ โรคลมแดด หรือ "ฮีทสโตรก" (Heat Stroke) อาการที่เกิดจากการได้รับความร้อนมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย หรืออยู่ในภาวะที่มีอากาศร้อนจัดเป็นเวลานาน โรคนี้อาจเกิดขึ้นได้ในผู้มีร่างกายแข็งแรง จัดเป็นความผิดปกติที่มีความรุนแรงมากที่สุด เพราะทำให้สมองไม่ทำงาน ไม่สามารถควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ รวมทั้งการควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ทำให้อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติเกิน 40 องศาเซลเซียส ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรักษาอย่างรีบด่วน เนื่องจากมีโอกาสเสียชีวิตถึง ร้อยละ 17-70 เลยทีเดียว

อาการที่สังเกตได้ คือ จะไม่มีเหงื่อออก ตัวร้อนจัดขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกกระหายน้ำมาก วิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ หายใจเร็ว อาเจียน ซึ่งต่างจากการเพลียจากแดดทั่วๆ ไป ที่จะพบว่ามีเหงื่อออกด้วย หากเกิดอาการดังกล่าวจำเป็นต้องหยุดพักทันที และรีบพบแพทย์โดยด่วน...

หากไม่อยากเป็นโรคดังกล่าว ควรดื่มน้ำ 1-2 แก้วก่อนออกจากบ้านในวันที่มีอากาศร้อนจัด หากต้องอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศร้อน ควรดื่มน้ำให้ได้ชั่วโมงละ 1 ลิตร แม้จะไม่รู้สึกกระหายน้ำก็ตาม และแม้ว่าจะทำงานในที่ร่มก็ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว สวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ไม่หนา น้ำหนักเบา ระบายความร้อนได้ดี หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดด

      

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หมีแพนด้า

หมีแพนด้า
             พอจบเรื่องต้นไผ่ ก็มาต่อกันด้วย หมีแพนด้าค่ะ ก้อแพนด้าชอบกินไผ่น้ะสิ    หมีแพนด้าตัวอ้วนน่ารักน้ะค่ะ คนไทยเรามีอยู่ช่วงนึงที่ชอบหมีแพนด้ามากๆ แต่ตอนนี้ก้อกระแสหมีแพนด้าสาไปล้ะเน้อะ..

ข้อมูลเกี่ยวหมีแพนด้ากันเถอะน้ะค่ะ




ลักษณะทางกายภาพแพนด้ามีขนบริเวณ หู รอบดวงตา จมูก ขา หัวไหล่ สีดำ ในขณะที่บริเวณอื่นจะมีสีขาว มีฟันกรามขนาดใหญ่ และมีกล้ามเนื้อขากรรไกรที่แข็งแรงสำหรับเคี้ยวต้นไผ่ ซึ่งเป็นอาหารของมัน 

ขนาด
เมื่อวัดส่วนสูงในท่ายืน 4 เท้าแพนด้าสูงประมาณ 2-3 ฟุตจากเท้าถึงหัวไหล่ ในขณะที่ท่ายืน2 เท้าวัดได้ 4-6 ฟุต น้ำหนักประมาณ 80 - 125 กิโลกรัม โดยตัวผู้จะมีน้ำหนักมากกว่าตัวเมีย

 
ถิ่นที่อยู่อาศัย
แพนด้าอาศัยอยู่ในป่าไผ่ที่ความสูงประมาณ 3,600 ถึง 10,500 ฟุต

 
ศัตรู
แพนด้าที่โตเต็มที่แล้วมีศัตรูน้อยมาก ศัตรูของมัน ได้แก่ เสือดาวที่อาศัยอยู่บนภูเขาที่มีหิมะ  แต่ศัตรูที่สำคัญที่สุดคือ มนุษย์ที่ล่าแพนด้าเพื่อนำหนังมาขายในตลาดมืด

อาหาร
โดยปกติแพนด้ากินอาหารประมาณ40 ปอนด์ต่อวัน อาหารหลักของแพนด้าที่อาศัยในป่าคือต้นไผ่ บางครั้งในยามขาดแคลนอาหารหลัก แพนด้าก็กินหัวของพืชประเภทที่เราใช้หัวเป็นอาหาร (เช่น แครอท มันฝรั่ง) หญ้า และสัตว์ขนาดเล็ก

อายุขัย ประมาน 35 ปี


 52910.jpgประวัติหมีแพนด้าในไทย

ช่วงช่วง

ช่วงช่วง (อักษรจีนตัวย่อ: 创创, Shuang Shuang) เป็นชื่อของแพนด้ายักษ์เพศผู้ ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ให้ประเทศไทยยืมจัดแสดงที่ สวนสัตว์เชียงใหม่ ในฐานะทูตสันถวไมตรีไทย-จีน โดยจัดแสดงคู่กับ หลินฮุ่ย แพนด้ายักษ์เพศเมีย ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2546 มีชื่อไทยว่า "เทวัญ" และมีชื่อล้านนาว่า "คำอ้าย"
ช่วงช่วง เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2543 ที่ศูนย์วิจัยและอนุรักษ์แพนด้ายักษ์ เขตอนุรักษ์วู่หลง เมืองเฉินตู มณฑลเสฉวน สาธารณรัฐประชาชนจีน เกิดจากแพนด้าตัวผู้ชื่อ ชิงชิง และแพนด้าตัวเมียชื่อ ไป่แฉว ปัจจุบันน้ำหนัก 150 กิโลกรัม

หลินฮุ่ย
 
หลินฮุ่ย (ภาษาจีน: 林惠, Lin Hui) เป็นชื่อของแพนด้ายักษ์เพศเมีย ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ให้ประเทศไทยยืมจัดแสดงที่ สวนสัตว์เชียงใหม่ ในฐานะทูตสันถวไมตรีไทย-จีน เป็นเวลา 10 ปี โดยจัดแสดงคู่กับ ช่วงช่วง แพนด้ายักษ์เพศผู้ ตั้งแต่วันที่ 12 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2546 มีชื่อไทยว่า "เทวี" และมีชื่อล้านนาว่า "คำเอื้อง"
หลินฮุ่ยเกิดเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2544 ที่ศูนย์วิจัยและอนุรักษ์แพนด้ายักษ์ เขตอนุรักษ์วู่หลง เมืองเฉินตู มณฑลเสฉวน สาธารณรัฐประชาชนจีน เกิดจากแพนด้าตัวผู้ชื่อ Pan Pan (Studbook number:308) และแพนด้าตัวเมียชื่อ Tang Tang (Studbook number:446) ปัจจุบันน้ำหนัก 110 กิโลกรัม

อ้างอิงจาก: http://blog.eduzones.com/nongkanya/30246
               : http://pandainthailand.wikispaces.com.
 

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ไผ่

วันนี้เรามารู้จักต้นไม้สีเขียวกันเถอะค่ะ
ต้นแรก ทุกคนคงรู้จักกันดี ถ้าบอกเป็นปล้องๆ เอ๊ะ! มันคืออะไร แต่ถ้าบอกว่า หมีแพนด้ากินเท่านั้นล้ะ ไม่มีใครไม่รู้กันเลยล้ะค่ะ...

ต้นไผ่


             ไผ่ เป็นไม้พุ่มหลายชนิดและหลายสกุลใน วงศ์หญ้า Poaceae  เป็นไม้ไม่ผลัดใบใน ขึ้นเป็นกอ ลำต้นเป็นปล้องๆ
            ผลผลิตจากไผ่ที่สำคัญคือ หน่อไม้ ซึ่งเป็นอาหารสำคัญของคนไทย นิยมทานกันมากในเกือบทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสาน นอกจากนี้ไม้ไผ่ยังมีคุณสมบัติพิเศษทั้งด้านความแข็งแรงและยืดหยุ่นที่เหนือกว่าวัสดุสังเคราะห์หลายชนิด ดังนั้นจึงยังได้รับความนิยมในการทำเครื่องมือเครื่องใช้หลายประเภท ใช้ชะลอน้ำที่เข้าป่าชายเลน นั่งร้านก่อสร้างและบันได เป็นต้น
           ฤดูกาลที่ใช้ประโยชน์ คือ ฤดูร้อน
           ลักษณะของพืช   ไผ่เป็นพรรณไม้ยืนต้น ลำต้นแตกเป็นกอเป็นไม้พุ่มขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ กอหนึ่งมีประมาณ 20-50ต้นลำต้นมีความสูงประมาณ 5 - 15 เมตรลักษณะลำต้นเป็นข้อปล้องผิวเกลี้ยงแข็งมีสีเขียวหรือเหลืองแถบเขียวลักษณะของข้อปล้องขนาดและสีขึ้นกับชนิดพันธุ์ใบเป็นใบเดี่ยวยาวแคบลักษณะคล้ายรูปหอกขอบใบเรียบผิวใบสีเขียวมีขนอ่อนๆคลุมบนผิวในบขนาด  ใบกว้างประมาณ 1 - 2 นิ้วยาวประมาณ512นิ้วหรือขึ้นกับชนิดพันธุ์ออกดอกเป็นช่อตามปลายยอดบริเวณข้อปล้องเมื่อดอกแห้งก็จะตายไป ผลหรือลูกคล้ายเมล็ดข้าวสาร



บอกลากันด้วย เส้นทางสวยๆจากต้นไผ่น้ะค่ะ





วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ช่วยโลกกัน



5R หลักการจัดการสิ่งแวดล้อม คือ
• Reuse ใช้ซ้ำ..นำสิ่งต่างๆ ที่ยังมีประโยชน์กลับมาใช้ซ้ำเพื่อประหยัดและลดปริมาณขยะ
• Reduce ใช้น้อย..คือการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าโดยใช้ให้น้อยลงเท่าที่จำเป็นและ กิดกากของเสียน้อยที่สุด
• Recycle แปรรูป..การแปรรูปคือการปรับเปลี่ยนกากของเสียให้เป็นวัตถุดิบหรือพลังงาน
• Reinvent ปรับเปลี่ยน..โดยการคิดค้นวิธีการหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ประหยัดและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม
• Replace ทดแทน..ทดแทนการใช้ผลิตภัณฑ์ปกติ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม
                   
มาช่วยโลกด้วยกัลน้ะค้ะ   10 ข้อสร้างออฟฟิศสีเขียว

1.ทราบหรือไม่ว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เสียบปลั๊กอยู่ก็กินไฟด้วย?  เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่า เวลาไม่ใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าให้เราตัดกระแสไฟออกจากปลั๊กด้วยจะดีกว่า
2.การใช้กระดาษในแถบเอเชียคิดเป็นจำนวน 44%  ซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งชองการบริโภครวมทั่วโลก หันมาลองใช้งานแบบไร้กระดาษด้วยการใช้แท็บเล็ตจะได้ไม่ต้องพิมพ์งานออกมา และถ้าต้องพิมพ์ก็ให้พรินต์ลงบนหน้ากระดาษทั้งสองหน้า  รวมทั้งนำมารีไซเคิลด้วย  ส่วนงานพรินต์ก็ควรใช้ฟอนต์ที่ประหยัดที่ใช้หมึกน้อยลง และลดค่าใช้จ่ายการพิมพ์ลงมา หรือพิมพ์ให้ตัวอักษรเล็กลงเวลาที่จะพรินต์งานบนหน้ากระดาษ
3.ทราบหรือไม่ว่า พลังงานที่ประหยัดได้จากการรีไซเคิลกระป๋องอลูมิเนียมแต่ละใบ เมื่อเทียบกับการผลิตกระป๋องอลูมิเนียมขึ้นมาใหม่จากแร่วัตถุดิบจะเป็นพลังงานที่มากพอที่จะใช้เปิดทีวีดูได้นานถึง 3 ชั่วโมง? ลองมาช่วยกันรีไซเคิลกระป๋องเครื่องดื่มกันดีกว่า
4.ทราบหรือไม่ว่าเครื่องปรับอากาศจะใช้งานไฟฟ้าคิดเป็นส่วนใหญ่ของไฟที่เปลืองไปในอาคารสำนักงานและบ้านเรือนที่อยู่อาศัย?  มาลองดูตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น เครื่องปรับอากาศ คือ ค่าพลังงานกว่า  60% ของค่าไฟฟ้าตามสำนักงานในประเทศสิงคโปร์  ถ้าจะช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม ให้ตั้งอุณหภูมิปรับอากาศของออฟฟิศไว้ที่ 25°C เพราะว่าทุกๆ องศาที่ต่ำลงไปกว่านี้จะเพิ่มค่าใช้จ่ายอีก10% และใช้พลังงานเพิ่มขึ้น
5.ในแต่ละปี จะมีต้นไม้กว่า 3.8 ล้านต้นถูกโค่นลงเพื่อผลิตตะเกียบแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งจำนวนกว่า 5 หมื่น 7 พันล้านคู่ในประเทศจีน ซึ่งคุณสามารถช่วยกันลดจำนวนของเหลือทิ้งได้ด้วยการนำเอาเครื่องใช้ในการทานอาหารพกติดตัวมาเอง ลดจำนวนของเสียที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยการออกไปทานข้าวข้างนอก แทนที่จะสั่งดิลิเวอร์รี่มาทาน และถ้าหากจำเป็นต้องทานนอกสถานที่ ควรใช้บรรจุที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกแทนที่จะเป็นแบบใช้แล้วทิ้ง
6.ทราบหรือไม่ว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกผลิตก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์เฉลี่ยแล้ว  4  ตันต่อคน ต่อปี? มาช่วยลดการปล่อยก๊าซโลกร้อนด้วยการเปลี่ยนวิธีการไปทำงานในแต่ละวัน เช่นมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะแทนที่จะขับรถไปเอง หรือมาใช้วิธีการแชร์รถนั่งกับเพื่อนร่วมงาน  หรือลองใช้วิธีติดต่อกันแบบวิดีโอคอนเฟรนซ์แทนที่จะบินข้ามประเทศไปพบหน้าลูกค้า พาร์ตเนอร์ และเพื่อนร่วมงาน
7.ต้องใช้น้ำมัน 3 ลิตรกับโลหะและพลาสติกกว่า 1 กก.ถึงจะผลิตตลับหมึกพรินเตอร์ใหม่เอี่ยมขึ้นมาได้หนึ่งอัน มาช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการรีไซเคิลตลับหมึกพวกนี้กัน เท่ากับว่าแต่ละตลับที่เราช่วยกันจะทำให้เราประหยัดน้ำมันไปครึ่งนึง และไม่เพิ่มขยะพลาสติกและโลหะอีกหนึ่งกิโล ซึ่งกว่าขยะพวกนี้จะย่อยสลายได้ก็ต้องใช้เวลาเป็นพันปีเป็นอย่างน้อย
8.ทราบหรือไม่ว่าหลอดไฟ LED จะใช้งานได้ยาวนานกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ถึง10 เท่าและยิ่งใช้งานได้นานกว่าพวกหลอดไส้แบบเก่า  ทราบแบบนี้แล้วลองหันมาประหยัดพลังงานด้วยการเปลี่ยนการใช้งานหลอดไฟให้กับออฟฟิศสำนักงานของคุณดูบ้าง
9.ทราบหรือไม่ว่า ในแต่ละปีมีปากกากว่า 1 หมื่นล้านด้ามถูกโยนทิ้งทั่วโลก?  มาช่วยกันอนุรักษ์ธรรมชาติด้วยการเลือกปากกาที่เติมน้ำหมึกได้ หรือเลือกซื้อปากกาที่ทำจากวัสดุพลาสติกที่ย่อยสลาย

10.สารทำความสะอาดเชิงพาณิชย์จำนวนมากเช่น สบู่ หรือสารทำความสะอาดพื้นนั้นไม่เป็นมิตรต่อธรรมชาติทั้งในแง่เรื่องบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ และคุณสมบัติการย่อยสลาย นอกจากนี้ยังมักจะมีสารพิษที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อตา ผิวหนังและทางเดินหายใจได้
ที่มา : เดลินิวส์



Natural by Computer


Green Natural  by computer



Top Nature Wallpapers


        นี่คือภาพวิวสวยๆที่ได้มาจากคอมพิวเตอร์ ซึ่ง สถานที่แบบนี้คงจะมีเพิ่มขึ้นอีกมากมายจริงๆ   ถ้าเราไม่ตัดไม้ทำลายธรรมชาติของเรา โลกสีเขียว ในดาวเคราะห์สีฟ้า คงจะอุดมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นกว่านี้ค้ะ   ถ้าได้นั่งกับคนที่รัก คงดีมากๆๆๆเยยย....

                 Top Nature Wallpapers
                        น่าไปว่ายน้ำเน้อะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ         เอ๋!!! แต่น้ำจะลึกไปไหมน้า..... 
                                 natural green wallpaper

                                            อยากให้สวนยางที่บ้านสวยอย่างนี้จางเยยยง้ะ
                                 natural green wallpaper    

                                    น่านอนและเลี้ยงแกะคงมีความสุขในที่ราบเช่นนี้จังเยยค้ะ :)





วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Natural


                                 

    Green Natural         



ภาพธรรมชาติสีเขียว ภาพนี้คือ ภาพต้นหญ้าที่มีหยาดน้ำค้างในตอนเช้า

หยดน้ำค้าง เกิดขึ้นได้อย่างไร?
       น้ำค้างเป็นธรรมชาติที่มหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง เพราะว่ามันเกิดขึ้นได้ไม่ว่าเป็นฤดูร้อน หนาว ฝน หรือฤดูใบไม้ผลิ ในตอนเช้าตรู่เมื่อเราตื่นขึ้นมาก็จะเห็นหยดน้ำน้ำค้างเกาะอยู่ตามใบหญ้า ใบไม้ และตามโลหะต่างๆ เต็มไปหมด เมื่อต้องแสงแดดในตอนเช้าจะทอแสงแวววาวสวยงามน่าดู...
       ยิ่งที่มันเกาะอยู่ตามรังของใยแมงมุมที่ขึงอยู่ตามต้นไม้จะเหมือนกับเพชรเม็ดเล็กๆ ร้อยเป็นพวง เป็นตาข่ายเกิดความงามอย่างน่ามหัศจรรย์ น้ำค้างใช่จะเกิดขึ้นเฉพาะเวลากลางคืนหรือเวลาย่ำรุ่งเท่านั้น เพราะแม้แต่ในตอนเย็นก่อนที่พระอาทิตย์ตกดิน บางโอกาสก็เกิดน้ำค้างเกาะอยู่ตามใบหญ้า และใบไม้ด้วยเหมือนกัน
      น้ำค้างเกิดขึ้นจากละอองไอน้ำหรือความชื้นที่มีอยู่ในอากาศ น้ำมีการระเหยกลายเป็นไอแทรกซึมเข้าไปอยู่ในอากาศได้ทุกขณะ ในเมื่อความชื้นของอากาศยังมีน้อยไม่ถึงจุดอิ่มตัว แต่พออากาศอมเอาไอน้ำไว้ได้มากจนถึงจุดอิ่มตัวแล้ว มันจะไม่ยอมรับไอน้ำที่ระเหยอีกต่อไป นอกจากมันจะได้ "คาย" ไอน้ำที่มีอยู่ในอากาศก่อนแล้วนั้นออกไปเสียบ้าง      เมื่อถึงเวลากลางวันน้ำค้างที่หยดอยู่บนยอดหญ้า เมื่อได้รับแสงอาทิตย์ก็จะระเหยไปหมด ปริมาณความชื้นในอากาศ ที่เรียกว่า ความชื้นสัมพัทธ์ ถ้าในอากาศที่มีความชื้นมากจะทำให้เรารู้สึกร้อนและเหนียวตัว แต่เมื่ออากาศหนาวมากน้ำค้างจะแข็งตัวเราเรียกว่า จุดน้ำค้างแข็ง จุดนี้ส่วนมากจะเกิดขึ้นในช่วงเริ่มฤดูใบไม้ร่วงเพราะอุณหภูมิในช่วงกลางวันและกลางคืนแตกต่างกันมาก



Date:25/06/56                       
เรามาดูแมวน้ำกับช้างน้ำกันเถอะ   

แมวน้ำ  
 ชื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ ในวงศ์ Phocidae รูปร่างอ้วนใหญ่ มีหนวดคล้ายแมว ไม่มีใบหู ขาคล้ายพาย คู่หน้าสั้น คู่หลังลู่ไปตามลำตัว อาศัยอยู่ตามชายฝั่ง หากินในน้ำเขตอบอุ่นหรือเขตหนาว
คุณรู้หรือไม่
แมวน้ำดำน้ำได้นานกว่า 30 นาที และบางครั้งก็หลับใต้น้ำได้ด้วย!!!!

วอลรัสหรือช้างน้ำ


           “วอลรัส”(walrus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ส่วนใหญ่แล้วจะอาศัยอยู่ในแถบขั้วโลกเหนือ และมหาสมุทรแปซิฟิก ในช่วงฤดูร้อนที่สุดแสนจะสั้นของทวีปนี้ วอลรัสจะใช้ครีบและงาของมันดึงตัวเองขึ้นจากน้ำมาสู่หาดหินเพื่อทำการอาบแดด  สัตว์ชนิดนี้ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง มีนิสัยรักครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผูกพันของแม่ - ลูก ผิวหนังของวอลรัสมีความหนามากถึง 4 เซนติเมตร!! และสามารถเปลี่ยนสีได้อีกด้วย โดยถ้าช่วงอากาศหนาวจะเป็นสีขาว แต่ถ้าอากาศอบอุ่นก็จะเปลี่ยนเป็นสีชมพู - แดง
รู้ไหม  วอลรัส (walrus) รูปร่างคล้ายสิงโตทะเล แต่ตัวใหญ่กว่ามากและมีเขี้ยวยาว

สิงโตทะเลน้ะ
แมวน้ำน้ะ
แมวน้ำช้างหรือช้างน้ำ
จบจร้า^^"....