ค้นหาบล็อกนี้

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

อาร์เทมิส จันทราเทพีแห่งกรีก
เมื่อคราวที่แล้วกล่าวถึงเทพอะพอลโล สุริยเทพสุดหล่อไปแล้ว ครั้งนี้คงไม่พูดไม่ได้แล้ว สำหรับ เทพีอาร์เทมิสผู้เลอโฉมและสง่างามไม่แพ้เทพอะพอลโลผู้เป็นพระเชษฐา ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นพี่น้องฝาแฝดชายหนุ่มแห่งยุคเลยทีเดียว เทพีอาร์เทมิสทรงเป็นพระธิดาในเทพซีอุสกับเทพีแลโตนา ชีวิตของพระองค์ในวัยเยาว์นั้นทรมานและลำบากมาก อย่างที่เคยเล่าไปแล้วในตอน เทพอะพอลโล สุริยเทพแห่งกรีก
      เทพีอาร์เทมิสยังเป็นจันทราเทพี เทพีผู้ครองช่วงเวลาแห่งราตรีกาลและเทพีผู้ประทานแสงสว่างแก่รัตติกาลอีกด้วย แต่พระเทพียังมีความสามารถที่ดูจะออกแนวบู้ๆคือ การล่าสัตว์ พระเทพีโปรดการล่าสัตว์ พระองค์จะมีคันธนูและลูกศรติดตัวเสมอ แต่พระองค์ถูกนับถือในนาม เทพีผู้คุ้มครองสัตว์ป่าเสียมากกว่า หากใครเข้าไปในเขตป่าของพระองค์โดยยิงหรือจับสัตว์ีป่าที่อยู่ในอาณาเขตของพระองค์ หากพระเทพีทราบเข้าผู้นั้นอาจต้องถูกสังหารถึงฆาตด้วยลูกธนูแห่งเทพีอาร์เทมิส
     เทพีอาร์เทมิสยังทรงเป็นเทพีผู้ถือพรหมจรรย์เจริญรอยตาม เทพีเฮสเทียและเทพีอธีน่า ด้วยเหตุเพราะพระองค์ทรงเห็นความทุกข์ของเทพีแลโตนาผู้เป็นมารดาที่ต้องลำบากลำบนกับความรักที่มาเป็นพระชายาเทพซีอุึสที่ถูกเทพีเฮร่าตามราวี จึงทำให้พระเทพีมิโปรดและกลัวที่จะออกเรือน จึงปฏิญาณว่าจะไม่ขอมีครอบครัวและจะรักษาพรหมจรรย์ไว้ให้ยิ่งชีพ แต่ก็ยังมีตำนานบางตอนที่กล่าวถึงพระเทพีหลงรักกับบุรุษรูปงาม2คน คือ ไอโอออน  กับ เอนดิเมียน แต่ก็มักจะจบไม่ดีทุกครั้ง เอาไว้จะเล่าในตอนต่อไป ความรักของเทพช่างน่าสงสารจริงๆมักเป็นรักที่จะไม่ค่อยสมหวังเสียจริงๆ
             ถึงเทพีอาร์เทมิสจะมีรูปโฉมที่งดงาม เป็นที่เคารพในนาม เทพีแห่งแสงจันทร์ก็ตาม แต่มีบางตำนานที่กล่าวว่าพระองค์ทรงโหดเหี้ยมผิดวิสัยแห่งพระเทพี เช่น ตำนานของนายพรานที่น่าสงสารนามว่า "แอคเตียน" ที่บังเอิญหลงทางเข้าไปยังป่าต้องห้ามที่เป็นอาณาเขตที่พำนักแห่งเทพีอาร์เทมิส และบังเอิญยิ่งที่พบเข้ากับเทพีอาร์เทมิสกำลังสรงน้ำอย่างสบายพระทัย โดยมีเหล่านางไม้ค่อยปรมนิบัติอยู่ข้างๆ เจ้านายพรานหนุ่มก็อาจดูไม่ขาดตา ผิวอันขาวนวลดังแสงจันทร์ที่กระจ่าง เส้นผมอันเป็นประกายดั่งทองคำเมื่อต้องแสงอาทิตย์ ถึงแม้นายพรานก็เกรงกลัวในอำนาจแห่งเทพเจ้า แต่ด้วยความราคะก็แอบดูในพุ่มไม้บริเวณที่ใกล้ๆนั้น พระเทพีบังเอิญอีกเหมือนกัน ดันเห็นแสงประกายประหลาดจากพุ้มไม้เห็นว่าผิดสังเกต พระเทพีจึงรับรู้ได้ว่ามีคนกำลังแอบดูพระองค์ พระเทพีจึงพิโรธเป็นอันมาก นายพรานรู้ตัวแล้วว่าพระเทพีรู้ว่าตนแอบดู จึงหมายจะหนี แต่พระเทพีได้ใช้มือตัดน้ำขึ้นและสาดไปเต็มแรง น้ำนั้นกระเด็นไปต้องนายพรานหนุ่ม จากนั้นร่างของนายพรานหนุ่มก็กลายเป็นกวางไป นายพรานในร่างกวางก็วิ่งพยายามขอความช่วยเหลือดันไปพบกับสุนัขล่าเนื้อที่เป็นสุนัขของตนตามไล่กัด คิดว่าเป็นกวางโดยหารู้ไม่ว่ากวางตัวนี้เป็นนายของมัน และนายพรานหนุ่มก็จบชีวิตลงโดยสุนัขล่าเนื้อของตนอย่างน่าอนาถ

ยังไม่จบเพียงเรื่องนี้เท่านั้น ยังมีต่อ มีชายหนุ่มนามว่า "แอดมีทัส" เป็นสาวกผู้มีหน้่าที่ถวายเครื่องสักการะแด่เทพีอาร์เทมิส แต่เมื่อเขาได้พบรักหญิงงามและขอเธอเป็นภรรยา เธอยินดีที่จะเป็นภรรยาเขา และเขาก็ปราบปลื้มปิติและวุ่นวายกับการจัดงานแต่งของตน จนลืมหน้าที่ที่จะต้องถวายเครื่องสักการะแด่พระเทพี พระเทพีทราบว่า แอดมีทีสลืมหน้าที่ๆพึ่งกระทำ พระองค์โกรธกริ้วมากจึงเสกให้ห้องหอของแอดมีทีสกัีบเจ้าสาวของเขาเต็มไปด้วยงูพิษ

             ยังมีเรื่องต่อ พระราชานามว่า "ท้าวโอนีอัส" แห่งเมืองคาลีดอน เกิดลืมการถวายเครื่อสักการะแด่พระเทพี พระเทพีกริ้วอีกแล้วทรงบันดาลให้วัวป่าที่บ้าคลั่งเข้าโจมตีทำลายเมืองคาลีดอน และวัวป่านั้นสังหารเชื้อพระวงศ์และครอบครัวของท้าวโอนีอัสสิ้นพระชนม์สิ้น นี้เป็นการลงโทษอย่างรุนแรงและโหดเหี้ยมจากพระเทพีพระองค์นี้
         ยังมีอีก พระเทพีเคยลงทัณฑ์นางไม้ผู้น่าสงสารที่ถูกเทพซีอุสปลุกปล้ำจนได้นางเป็นชายา นางคือ "คัสลิสโต" เทพีอาร์เทมิสอาจจะว่าอะไรเทพซีอุสผู้เป็นบิดาได้ จึงลงมือกับนางไม้คัสลิสโตผู้น่าสงสารโดยสาปในนางกลายเป็นหมีไป แค่นั้นไม่พอ นางคัสลิสโตมีพระโอรสให้เทพซีอุส แต่ไม่ทราบว่าหมีตัวนั้นเป็นพระมารดาจึงสังหารยิงหมีตัวนั้นตายกับหมี มาทราบภายหลังว่าหมีนั้นเป็นพระมารดาที่ถูกเทพีอาร์เทมิสสาป เขาฆ่าแม่ของเขาลงกับมือ และเขาก็ฆ่าตัวเองตายตามผู้เป็นมารดาไป เทพีอาร์เทมิสทราบว่าพระองค์ผิดจึงเนรมิตให้สองแม่ลูกไปเป็นดวงดาวบนท้องฟ้า คือ ดาวหมีเล็ก กับ ดาวหมีใหญ่
        เทพีอาร์เทมิส ถึงดูภายนอกของพระองค์จะเป็นเทพีผู้แข็งแกร่ง เพราะทรงโปรดกิจกรรมที่เป็นของบุรุษอย่างการล่าสัตว์ ผิดวิสัยแห่งสตรี พระองค์คงเกิดมาจากอุดมคติแห่งสตรีในสมัยกรีกโบราณที่อย่างจะทำการใดได้เหมือนดั่งบุรุษบ้าง ถึงอย่างไรเทพก็เสมือนเงากระจกที่สะท้อนกลับของมนุษย์นั่นอยู่ดี

วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

เฮรา


เฮรา (Hera) หรือภาษาโรมันว่า จูโน (Juno)
เป็นราชินีของเทพธิดาทั้งหลายเพราะเป็นชายาของซุส เฮราเป็นธิดาองค์ใหญ่ของเทพไทแทนโครนัสกับเทพมารดารีอา ต่อมาในตอนหลังได้อภิเษกสมรสกับ ซุสเทพบดีอนุชาของนาง ทำให้นางกลายเป็นราชินีสูงที่สุดในสวรรค์ชั้นโอลิมปัส ที่ไม่ว่าผู้ใดก็คร้ามเกรง เทวีเฮราไม่ชอบนิสัยเจ้าชู้ของซุส ด้วยเหตุที่ซุสเป็นคนเจ้าชู้ ทำให้เฮรากลายเป็นคนขี้หึง และคอยลงโทษหรือพยาบาทคนที่มาเป็นภรรยาน้อยของซุสอยู่เสมอ เมื่อแรกที่ซุสขอแต่งงานด้วย เฮราปฏิเสธ และปฏิเสธเรื่อยมาจนถึง 300 ปี วันหนึ่งซุสคิดทำอุบายปลอมตัวเป็นนกกาเหว่าเปียกพายุฝนไปเกาะที่หน้าต่าง เฮราสงสาร ก็เลยจับนกมาลูบขนพร้อมกับพูดว่า "ฉันรักเธอ" ทันใดนั้น ซุสก็กลายร่างกลับคืน และบอกว่าเฮราต้องแต่งงานกับพระองค์
แต่ทว่าชีวิตการครองคู่ของเทวีเฮรากับเทพปริณายกซุสไม่ค่อยราบรื่นเท่าใดนัก มักจะทะเละเบาะแว้ง เป็นปากเสียงกันตลอดเวลา จนเป็นเหตุให้ชาวกรีกโบราณเชื่อกันว่า ในเวลาที่เกิดฟ้าคะนองดุเดือดขึ้นเมื่อไร นั่นคือสัญญาณว่าซุสกับเฮราต้องทะเลาะกันเป็นแน่ เพราะ 2 เทพนี้เป็นสัญลักษณ์ของสรวงสวรรค์ เมื่อท้องฟ้าเกิดอาเพศ ก็เหมาเอาว่าเป็นเพราะการขัดแย้งรุนแรงของเทพคู่นี้         แม้ว่าเทวีเฮรามีศักดิ์ศรีเป็นถึงราชินีแห่งสวรรค์หรือเทพมารดาแทนรีอา         แต่ความประพฤติและอุปนิสัยของเจ้าแม่ไม่อ่อนหวาน และมีเมตตาสมกับเป็นเทพมารดาเลย โดยประวัติของเจ้าแม่นั้นมีทั้งโหดร้าย ไร้เหตุผล เจ้าคิดเจ้าแค้นและอาฆาตพยาบาทจนถึงที่สุด ผู้ใดก็ตามที่ถูกเทวีเฮราอาฆาตไว้ มักมีจุดจบที่ไม่สวยงามนัก ว่ากันว่าชาวกรุงทรอยทั้งเมืองล่มจมลงไปเพราะเพลิงอาฆาตแค้นของเจ้าแม่เฮรานี้เอง สาเหตุเกิดจากเจ้าชายปารีสแห่งทรอยไม่เลือกให้เจ้าแม่ชนะเลิศในการตัดสินความงามระหว่าง 3 เทวีแห่งสวรรค์ คือเทวีเฮรา เทวีเอเธนา และเทวีอโฟรไดท์

เรื่องมีอยู่ว่า เจ้าแม่โกรธแค้นความไม่ซื่อสัตย์ของสวามีขึ้นมาอย่างเต็มกลืน จึงร่วมมือกับเทพโปเซดอน จ้าวสมุทร เชษฐาของซุสเอง และเทพอพอลโลกับเทวีอธีนาด้วย ช่วยกันกลุ้มรุมจับองค์เทพซุสมัดพันธการไว้แน่นหนา จนเป็นเหตุให้เทพปริณายกซุสจวนเจียนจะสูญเสียอำนาจอยู่รำไร ก็พอดีชายาอีกองค์ของซุสนามว่า มีทิส (แปลว่าภูมิปัญญา) ได้นำผู้ช่วยเหลือมากู้สถานการณ์ทันเวลา โดยไปพา อาอีกีออน (Aegaeon) ซึ่งเป็นอสูรร้อยแขนที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงมาช่วยเหลือเทพบดีซุส อสูรตนนี้มีฤทธิ์อำนาจมากเสียจนเทพเทวาน้อยใหญ่ต้องยอมศิโรราบไปตามๆ กัน เมื่ออาอีกีออนมาแก้ไขให้ซุส และนั่งเฝ้าอยู่ข้างบัลลังก์ของซุส บรรดาผู้คิดกบฎปฎิวัติก็หน้าม่อย ชวนกันหนีหน้าไปหมด แผนการณ์จึงล้มครืนด้วยประการฉะนี้
องค์เทพซุสเองก็เคยร้ายกาจกับราชินีเทวีเฮราเหมือนกัน ทรงลงโทษลงทัณฑ์แก่เจ้าแม่อย่างไม่ไว้หน้าอยู่บ่อยๆ นอกจากทุบตีอย่างรุนแรงแล้ว ซุสยังใส่โซ่ตรวนที่บาทของเจ้าแม่กับผูกข้อหัตถ์และพาหาติดกันมัดโยงโตงเตงอยู่บนท้องฟ้า จนเป็นเหตุให้เกิดตำนานเกี่ยวกับเทพ ฮีฟีสทัส ขึ้นมาว่า จากการวิวาทครั้งนี้ เทพฮีฟีสทัสผู้เป็นโอรสเข้าขัดขวางมิให้พระบิดากระทำรุนแรงแก่พระมารดา ซุสเทพบดีที่กำลังโกรธกริ้ว จับตัวฮีฟีสทัสขว้างลงมาจากสวรรค์ กลายเป็นเทพพิการไปเลย



 
ทว่าบุตรที่เกิดจากตัวเจ้าแม่เองนั้นกลับมิได้สะสวย เรืองฤทธิ์เช่นอธีนา แต่กลับเป็นอสูรร้ายน่าเกลียดน่ากลัวยิ่ง (แต่บางตำนานกล่าวว่าบุตรที่จากเทวีเฮราก็คือ ฮีฟีทัสนั่นเอง) คืออสูรร้าย ไทฟีอัส (Typheus) ซึ่งผู้ใดเห็นก็หวาดกลัว เลยทำให้เทพปริณายกซุสกริ้วใหญ่ และการวิวาทบาดหมางก็เกิดขึ้นอีก

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

เทพโพไซดอน

โพไซดอน

 โพไซดอน หรือ โพเซดอน (Poseidon) หรือ โปเซดอน เป็นชื่อเรียกเทพเจ้าตามชาวกรีก แต่สำหรับชาวโรมัน ซึ่งรับเอาวัฒนธรรมของกรีกมาอีกทอดหนึ่งจะเรียกว่า เนปจูน ตามภาษาละติน โพไซดอน เป็นผู้คุ้มครอง ท้องทะเลและห้วงน้ำ (The ruler of the sea)                      
เป็นพระอนุชาของเทพซุส หรือ จูปิเตอร์ตามภาษาละติน เทพที่มีอำนาจสูงสุดในบรรดาเทพเจ้ากรีก-โรมันทั้งหมด ส่วนพระชายาของพระองค์ คือ เทพีอัมฟิไทรต์ ซึ่งก็เป็นเทพี แห่งท้องทะเล เช่นกัน โพไซดอน เป็น เทพเจ้าแห่งท้องทะเล และมหาสมุทร เป็น ผู้ปกครองดินแดน แห่งท้องน้ำ ตั้งแต่แหล่งน้ำจืด เช่น แม่น้ำ ลำคลอง จนถึงใต้บาดาล มีอาวุธคือสามง่าม บางตำนานกล่าวว่า มีท่อนล่างเป็นปลา นอกจากนี้แล้วยังถือว่าเป็นเทพแห่งแผ่นดินไหว และเป็นเทพแห่งม้าอีกด้วย  
 ตามตำนานเล่าว่า โพเซดอนเป็นบุตรของโครโนสกับเร มีพี่น้องอีก 4 องค์ ซึ่งล้วนแต่เป็นเทพ แห่งโอลิมปัสทั้งสิ้น ได้แก่ ซุส ผู้เป็นใหญ่ในสภาเทพแห่งโอลิมปัส ฮาเดส ผู้ครอบครองยมโลก เฮรา ชายาแห่งเทพซุส เฮสเตีย เทพีแห่งเตาผิง รูปลักษณ์ของโพเซดอน ส่วนมากจะปรากฏเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างกำยำล่ำสัน มีหนวดเครา ถือสามง่ามเป็นอาวุธ ซึ่งสามง่ามนี้มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถดลบันดาลให้เกิดคลื่นลมแรงในทะเล หรือแผ่นดินไหวได้ ครั้งหนึ่งโพเซดอน เคยคิดที่จะโค่นอำนาจของซุส โดยร่วมมือกับเฮราและอะธีนา แต่ไม่สำเร็จจึงถูกซุสลงโทษ โดยการให้ไปสร้างกำแพงเมือง ทรอย ร่วมกับเทพอพอลโล โพเซดอนมีมเหสีองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นหญิงรับใช้ของเทพีอะธีนา คือ เมดูซ่า ซึ่งในตอนแรกนั้นยังไม่ถูกสาบให้มีผมเป็นงู เพิ่งจะเป็นเช่นนั้นเมื่อเทพีอะธีนาทราบเรื่องว่าหญิงรับใช้ของตน ไปเป็นมเหสีของโพเซดอน จึงสาบเมดูซ่าให้เป็นปีศาจที่มีผมเป็นงู และเมื่อมองใครก็จะกลายเป็นหินไปหมด ในคราวที่เปอร์ซิอุสปราบเมดูซ่านั้น เปอร์ซิอุสได้ตัดศีรษะของเมดูซ่าแล้วเลือดของเมดูซ่า ที่กระเซ็นออกมา กลายเป็นม้าบินสองตัว คือ เพกาซัส (Pegasus) และ คริสซาออร์ (Chrysaor) ดังนั้นจึงถือว่า ทั้ง เพกาซัส และ คริสซาออร์ เป็นลูกของโพเซดอนด้วย
ในสมัยที่โครนัส และเทพไททัน เป็นใหญ่อยู่นั้น เนรูส เป็นผู้ครอบครองทะเล เนรูสเป็นโอรสของ แม่พระธรณี กับ พอนทัส หรือทะเล ซึ่งเป็นสวามีองค์ที่สอง เนรูสเป็นเทพเจ้าผู้ชราแห่งทะเล มีหนวดสีเทายาว มีหางเป็นปลา และ มีธิดาเป็นนางพรายน้ำห้าสิบนาง คือ เนรีด ผู้น่ารัก เมื่อโพไซดอน ได้รับมอบหมายให้มาเป็นเจ้าแห่งทะเลแทน เนรูส ผู้ชราที่มีน้ำพระทัยดี ก็ทรงยกธิดานามว่า อัมฟิไทรต์ ให้เป็นมเหสีของโพไซดอน แล้วเธอเองก็ปลีกตัวไปประทับอย่างสงบในถ้ำใต้บาดาล เนรูสทรงยกปราสาทใต้ทะเลให้แก่พระราชา และพระราชินีองค์ใหม่ด้วยปราสาททองคำ ซึ่งตั้งอยู่ในสวนหินปะการังและไข่มุก อัมฟิไทรต์ประทับที่ปราสาทแห่งนี้อย่างมีความสุข พร้อมกันนั้นยังห้อมล้อมด้วยนางพรายน้ำพี่น้องอีกสี่สิบเก้านาง นางมีโอรสองค์เดียว นามว่า ไทรทัน ซึ่งมีหางเป็นหางปลา เหมือนเนรูสผู้เป็นพ่อ ทรงขี่หลังสัตว์ทะเล และทรงเป่าสังข์ท่องเที่ยวไปในทะเล

โพไซดอนไม่ค่อยประทับอยู่ที่ปราสาท เพราะไม่ชอบอยู่นิ่ง ๆ ทรงโปรดขับรถเทียมม้าสีขาวเหมือนหิมะแข่งกับลูกคลื่น กล่าวกันว่า โพไซดอน เนรมิตม้ามาจากรูปของคลื่นที่แตกกระจาย โพไซดอนทรงมีชายา และโอรสธิดามากมาย เหมือนซุส แต่ต่างกันตรงที่อัมฟิไทรต์ไม่ทรงหึงหวงเหมือนเฮรา

อีกอย่างที่ทราบมา



               เทพโพไซเดิมอย่างว่าเป็นเทพบุตรรุ่นใหม่อันกำเนิดจากเทพโครนัสกับนางเรอา ซึ่งก่อนที่พระองค์จะขึ้นตำแหน่งพระสมุทรนั้น มีเทพเจ้ารุ่นเก่าคือ เทพไตรต้นนามว่า "โอเซียนัส" เป็นพระสมุทรอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งเทพโอเซียนัสมีอำนาจครอบคลุมอำนาจน้ำทุกอย่างในโลก แต่พอเทพรุ่นใหม่ล้มอำนาจของเทพไตรตัน เทพโอเซียนัสจึงถูกลดอำนาจแต่ยังคงสภาพพระสมุทรอยู่ คือ เทพโพไซดอนปกครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (ในอดีตชาวกรีกนั้นมหาสมุทรเมดิเตอร์เรเนียนมีความสำคัญต่อตนมาก) ส่วนเทพโอเซียนัสจึงปกครองในห้วงสมุทรที่เป็นเพียงน้ำไหลวนรอบโลกซึ่งไม่มีความสำคัญอะไรเลย
             พระองค์ในฐานะเป็น 1 ใน เทพสภาทั้ง12แห่งโอลิมปัส มักจะตั้งเสด็จขึ้นไปยังโอลิมปัสด้วย เวลาพระองค์เสด็จจะทรงบนราชวงศ์เทียมม้าน้ำและจะมีเหล่าเทพบุตร เทพธิดาแห่งทะเลรวมถึงหมู่นางพรายขึ้นมาส่งเสด็จต่างประโคมแตรสังข์ดนตรีอย่างอลังการ สมกับขบวนส่งเสด็จพระสมุทร ท้องทะเลจะแหวกเป็นทางให้รถม้าของพระองค์เหาะขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งสู่โอลิมปัสอย่างสวยงาม 
           เทพโพไซดอนทรงเป็นพระสมุทรที่เท่ากับเป็นประมุขบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายในมหาสมุทร ก็คงขาดไม่ได้ที่จะต้องมีพระมเหสีหรือราชินีคู่บัลลังก์ พระราชินีแห่งท้องทะเลจะหนีไปไม่ได้เลย เพราะหนีแล้วท่านยังตามทันนั้นคือ เทพีอัมฟิตรีตี กว่าพระองค์จะได้เทพีพระองค์นี้มาเป็นพระมเหสีช่างยากอยู่เหมือนกัน ตอนแรกพระองค์ขอพระเทพีจากเทพโอเซียนัสผู้เป็นบิดา แต่พระเทพีกลับไม่ยินดีกับการจะเป็นพระมเหสีพระสมุทรพระองค์ใหม่จึงหนี..!! พระเทพีหนีซ่อนองค์อยู่ทีอื่น แต่คงไม่พ้นพระเนตรพระกรรณของทพโพไซดอนได้ พระองค์จึงวานปลาโลมาช่วยตามหาพระเทพีอันเป็นที่รัก ในที่สุดเจ้าปลาโลมาก็พบพระเทพีและนำกลับมามอบแก่เทพโพไซดอนได้สำเร็จ พระเทพีผู้โสภาคงหนีไม่รอดตำแหน่งพระราชินีแห่งมหาสมุทร จึงยอมรับเทพโพไซดอนเป็นพระสวามีโดยดี
     พระเทพีทรงมีพระโอรสให้เทพโพไซดอน คือ เทพไทรตัน โดยพระโอรสพระองค์นี้จะมีหน้าที่เป่าสังข์เป็นสัญญาณเวลาพระบิดาจะเสด็จสู่โอลิมปัส โดยพระองค์จะมีรูปลักษณ์เป็นคนครึ่งปลา เขาว่าพระองค์เป็นต้นตระกูลของเงือกกรีกด้วย 


ขอจบเรื่องเทพโพไซดอนไว้เท่านี้น้ะค่ะ ความจริงมีอีกหลายเหตุการณ์มากมาย ค่ะ:)

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

ซุส

ตำนาน เทพซุส (Zeus)

ซุส (Zeus) เป็นพระบิดาของบรรดาเทพเจ้า

                                                                         เทพซุส (Zeus)
                 เป็นราชาแห่งทวยเทพ ผู้ปกครองเขาโอลิมปัส (Olympus) และ เทพแห่งท้องฟ้า และ ฟ้าร้อง ของตำนานเทพปกรณัมกรีก มี อสนีบาต (Thunder bolt) เป็นอาวุธประจำกาย ทรงเกราะทองประกายวาววับ ซึ่งเกราะทองนี้ไม่มีมนุษย์สามัญจะทน มองได้ แม้แต่ทวยเทพด้วยกันเอง หากไปเพ่งมองแสงเจิดจ้า ของเกราะทองเข้า ก็ย่ำแย่เช่นกัน ทรงมีพญานกอินทรีเป็นนกเลี้ยง ต้นโอ๊คเป็นพฤกษาประจำองค์ มีมหาวิหาร และศูนย์กลางศรัทธา ในตัวพระองค์อยู่ที่เมืองโอลิมเปีย สัญลักษณ์ประจำพระองค์คือ โคเพศผู้ นกอินทรี และต้นโอ๊ก
เทพแห่งสายฟ้า

           พระองค์เป็นพระโอรสองค์สุดท้องของ ไททันโครนัส (Cronus) และ ไททันรีอา (Rhea) ในหลายๆ ตำนานกล่าวว่า พระองค์ได้สมรสกับเทพีเฮร่า (Hera) แต่ก็มีสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองดอโดน่า (Dodona) ที่อ้างว่า คู่สมรส ของเทพซุสแท้จริงแล้วคือ เทพีไดโอเน่ (Dione) นอกจากนี้มหากาพย์อีเลียด (Illiad) ยังกล่าวไว้ว่า เทพซุส เป็นพระบิดา ของเทพีอโฟรไดต์ (Aphrodite) ที่กำเนิดจากเทพีไดโอเน่อีกด้วย เทพซุส มักมีชื่อเสียง ในพฤติกรรมนอกลู่นอกทางเรื่องชู้สาวของพระองค์ ซึ่งยังรวมไปถึง ความสัมพันธ์ กับเด็กหนุ่มนามกานีเมดี้ (Ganymede) ด้วยเช่นกัน พฤติกรรมของพระองค์ทำให้เกิดผู้สืบเชื้อสายอยู่หลายองค์ และหลายคนด้วยกัน อาทิเช่น เทพีอาธีน่า (Athena) เทพอพอลโล (Apollo) และเทพีอาร์ทีมิส (Artemis) เทพเฮอร์มีส (Hermes) เทพีเพอร์ซิโฟเน่ (Persephone) เทพไดโอนีซุส (Dionysus) วีรบุรุษเพอร์ซีอุส (Perseus) วีรบุรุษเฮอร์คิวลีส (Hercules) เฮเลนแห่งทรอย (Hellen) กษัตริย์ไมนอส (Minos) และเหล่าเทพีมิวเซส (Muses) ส่วนผู้สืบเชื้อสาย ที่เกิดจากเทพีเฮร่าโดยตรง ได้แก่เทพเอรีส (Ares) เทพีเฮบี (Hebe) และเทพเฮฟาเอสตัส (Hephaestus) นามของพระองค์ในตำนานเทพปกรณัมโรมันคือ เทพจูปิเตอร์ (Jupiter) และนามในตำนานอีทรูสแคนคือเทพไทเนีย (Tinia)

          ในวัยเยาว์ของพระองค์โดนพ่อบังเกิดเกล้าเรียกเอาไปกิน หวังไม่ให้เยาวเทพเติบโตขึ้นมาวัดรอยเท้า เคราะห์ดีที่แม่ของท่านไหวตัวทันเอาไปฝากแพะเลี้ยงเอาไว้ จนกระทั่งเติบโตหาญกล้ามาทวงบัลลังก์ กับพ่อ ต้องรบราฆ่าฟันพี่น้อง รวมทั้งพ่อของตัวเองด้วย หลังจากยึดอำนาจได้เบ็ดเสร็จแล้ว ซุสก็ขึ้นครองบัลลังก์ รั้งอำนาจเต็มตลอด 3 ภพ คือ สวรรค์ พิภพ และ บาดาล แต่ซุสก็ตระหนักดีว่า การที่จะปกครองทั้ง 3 ภพ และ ทะเลให้ทั่วถึงมิใช่เรื่องง่าย หาใช่ภาระเล็กน้อยไม่ เพื่อป้องกันการแก่งแย่ง และกระด้างกระเดื่อง จึงจัดสรรอำนาจ ยอมยกให้เทพต่างๆ มีเอกสิทธิในการปกครองอาณาเขตดังนี้

*** เนปจูน หรือ โปเซดอน ได้ครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และแม่น้ำทั้งปวง

*** พลูโต หรือ ฮาเดส เป็นเจ้าแห่งตรุทาร์ทะรัส และ แดนบาดาลทั้งหมด อันรัศมีของแสงอาทิตย์ ไม่เคยส่องลอดไปถึงเลย

*** ยูปิเตอร์ หรือ ซุสเองปกครองทั้งสวรรค์ และพิภพ แต่ก็มีอำนาจที่จะสอดส่องดูแล กิจการทั่วไปในเขตแดน ของเทพภราดรทั้งสองได้บ้าง
 

         
 
 
 

ยอดเขาโอลิมปัส

ยอดเขาโอลิมปัส

ถ้าหากว่าคุณชอบเรื่องที่เพ้อฝัน หรือไม่ก้อชอบประวัติศาสตร์ที่มีเทพเจ้ามากมายนั้น
คุณอาจจะเคยดูหนังเรื่องนี้
แน่นอน เรื่องนี้มีเทพเจ้าอยู่มากมาย และมีลูกของเทพเจ้าอยู่ด้วย ถ้าคุณได้ดูตอนสุดท้าย เพอร์ซศีย์จะไปที่ยอดเขาโอลิมปัสเพื่อคืนสายฟ้าที่หายไป และที่นั่นก้อมีสภาโอลิมปัสอยู่

มารู้จักสภาโอลิมปัสกันน้ะค้ะ

เทวสภาโอลิมปัส เป็นสภาแห่งทวยเทพองค์สำคัญสิบสององค์ตามความเชื่อของชาวกรีกโบราณ สถิตอยู่ ณ เขาโอลิมปัส ซึ่งเป็นเขาที่มีอยู่จริงในประเทศกรีซ โดยเป็นเขาที่สูงสุดในกรีซ
เทพทั้ง 12 ประกอบด้วย
  • ซูส (Zeus) เป็นเทพที่ใหญ่ที่สุด ปกครองสวรรค์และทวยเทพทั้งมวล เทพแห่งท้องนภา
  • โพไซดอน (Poseidon) เทพแห่งท้องทะเลและแม่น้ำ น้ำท่วมและแผ่นดินไหว เป็นพี่ชายของเทพซุส
  • เฮรา (Hera) ชายาของซูส องค์ราชินีแห่งสรวงสรรค์และดวงดาว เทพีแห่งการสมรสและความจงรักภักดี
  • อพอลโล (Apollo) โอรสของซูส เทพแห่งดวงอาทิตย์(แสง) เทพแห่งศิลปวิทยาการ การรักษา การพยากรณ์ทำนาย การแพทย์ และการธนู
  • อาร์เทมีส (Artemis) ฝาแฝดหญิงกับอพอลโล เทพีแห่งดวงจันทร์ เทพีแห่งการล่าสัตว์ เหล่าสัตว์ป่า และเทพีผู้ดูแลปกป้องหญิงสาว
  • อะธีนา (Athena) ธิดาอีกองค์หนึ่งของซูส เทพีแห่งสงคราม เทพีแห่งปัญญา งานหัตถกรรม (โดยเฉพาะงานทอผ้า ปั้นหม้อ และงานไม้)
  • เฮฟเฟสตุส (Hephaestus) เทพแห่งการตีเหล็ก เทพแห่งไฟ
  • อาเรส (Ares) เทพแห่งสงคราม
  • อโฟรไดท์ (Aphordite) เทพีแห่งความรัก เทพีแห่งความงาม
  • เฮอร์มีส (Hermes) เทพแห่งการค้า เทพแห่งการโจรกรรม และผู้ส่งสารของเหล่าทวยเทพ
  • เฮสเทีย (Hestia) เทพแห่งการครองเรือน เทพแห่งครอบครัว
  • ดีมิเตอร์ (Demeter) เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และการเก็บเกี่ยว
สำหรับ ฮาเดส (Hades) เทพปกครองโลกที่อยู่เบื้องล่าง และเป็นพี่ชายของจอมเทพซุส แต่เดิมเคยถูกจัดอยู่ใน 12 เทพโอลิมปัสด้วย แต่ตัดออกจากกลุ่มในภายหลัง[1]